วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สุขภาพจิต ฝึกบริหารจิตใจ ให้ห่างไกล อคติ 4

สุขภาพจิต ฝึกบริหารจิตใจ ให้ห่างไกล อคติ 4

ฝึกบริหารจิตใจ ให้ห่างไกล อคติ 4

          เมื่อจิตใจของเราปราศจากความขุ่นมัวอย่าง อคติ 4 เราก็จะสัมผัสได้ถึงความสงบและความสุขภายในจิตใจได้อย่างแท้จริง 

          "รัก โลภ โกรธ หลง" อคติทั้ง 4 นี้เป็นความลำเอียงที่เกิดขึ้นในใจของมนุษย์ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมนำความทุกข์มาสู่ใจเรา หลายคนหาทางแก้ไข เพื่อละหรือดับความรู้สึกที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ซึ่งเว็บไซต์ สสส. มีหนทางในการดับความรัก โลภ โกรธ หลง จากพระอาจารย์ภาณุ จิตตฑฺนโต วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก มาเชิญชวนให้ทุกคนบริหารจิตใจกัน  

          สำหรับเรื่องนี้ พระอาจารย์ภาณุ จิตตฑฺนโต วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก อธิบายให้เข้าใจด้วยถ้อยคำง่าย ๆ ว่า...สิ่งที่เข้ามากระทบใจนี้ มนุษย์ได้เลือกตอบสนองด้วยความรู้สึกทั้ง 4 อย่าง คือ 

          http://img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif ฉันทาคติ หมายความว่า เราเลือกปฏิบัติต่อสิ่งนั้น ๆ ด้วยความลำเอียง เช่น ลำเอียงเพราะรักหรือชอบสิ่งนั้น 
          http://img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif โทสาคติ หมายความว่า เราเกิดความลำเอียงเนื่องจากความหงุดหงิด ไม่ชอบใจ   
          http://img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif โมหาคติ หมายความว่า เราเกิดความลำเอียง เพราะเราไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างไร 
          http://img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif ภยาคติ   หมายความว่า เราลำเอียงต่อสิ่งนั้นเพราะความกลัว หรือเกรงใจ ทั้งหมดนี้ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า "อคติ 4"

ฝึกบริหารจิตใจ ให้ห่างไกล อคติ 4
ภาพจาก สสส. 

          พระอาจารย์ภาณุ กล่าวเพิ่มเติมว่า ชาวพุทธได้ดำเนินตามหลักของพระพุทธเจ้า คือเป็นผู้รู้ตื่นและเบิกบาน ดังนั้นกระทำสิ่งใดแปลว่าเราต้องรู้สิ่งนั้นชัดเจนก่อน การที่เราจะรู้ได้ต้องดูว่าแต่ละสิ่งมีที่มาที่ไปอย่างไร ด้านแรกคือ ความรัก ในทางพุทธศาสนาไม่ได้นิยามความรักเป็นคำ ๆ เดียว มีหลาย ๆ คำที่เกี่ยวกับความรัก เช่น ความพยายาม ความอยาก ความต้องการ ความผูกพัน ความใคร่ ความพอใจ และที่สูงขึ้นไปกว่าความรักที่กล่าวมา คือความปารถนาที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข มีความเมตตา และสูงกว่านั้นคือความปารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากทุกข์ มีความกรุณา ซึ่งอยู่ในหลักของพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เราสามารถจำแนกความรักออกมาได้ดังนี้

          http://img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif 1. ความรักตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วเป็นไปในทางของตัณหา นั่นคือต้องการดึงความสุขนั้นมาเป็นของตัวเองทั้งหมด คนที่ต้องการความสุขทั้งหมด อาจทำผิดศีลธธรม ทำร้ายผู้อื่น และเบียดเบียนผู้อื่น

          http://img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif 2. ความรักครอบครัว เป็นหน่วยย่อย ๆ ที่ขยายออกไปจากความรักตัวเอง คำภาษาบาลีคือ "เปม" (เป-มะ) เมื่อมีความรักครอบครัวจะมีการปรับตัว ลดตัวตนของตัวเองลง เพื่อปรับเข้าหาคนในครอบครัวและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
  
          http://img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif 3. รักในคนรอบข้าง เนื่องจากเราอยู่ร่วมกันหลายคนเป็นชุมชน จึงต้องเรียนรู้การประนีประนอม ลดตัวตนลงไป เพื่อปรับเข้ากับคนอื่นให้ได้ ความรักประเภทนี้เป็นความดีงามที่บริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

          http://img.kapook.com/image/icon/48be2683.gif 4. ความรักไม่มีประมาณ คือไม่เจาะจงความรักต่อผู้ใดสิ่งใด ขยายความรักนั้นไปสู่ต่างชนชาติ ต่างภาษา ไม่เบียด เบียนตนเองและผู้อื่น ถือเป็นความรักขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา

ฝึกบริหารจิตใจ ให้ห่างไกล อคติ 4

          "วัดเป็นที่ดับทุกข์ทางใจ การมาเจอพระผู้ทรงศีล ให้ทางออกจะทำให้มีสติ ถ้าได้ฟังธรรมะแล้วใจเราน้อมจะฟังก็ดีขึ้นไปอีก มีการสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม ใจก็จะสงบ จะเห็นปัญหาอย่างชัดเจน ปัญหาของมนุษย์อยู่กับอคติที่ว่า ไม่สามารถมองสิ่งใดได้อย่างลึกซึ้ง ถูกต้อง มองไม่เห็นต้นตอของปัญหา การที่ใช้ความรู้สึกมาตัดสินทำให้ทางเลือกที่มีอยู่มันน้อยลงไป เมื่อเรามีสติและสงบมากขึ้น ก็จะมองเห็นปัญหาและยอมรับความจริงได้ง่าย" พระอาจารย์ภาณุ ให้ความเห็นเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่มีปัญหาจากความรัก และเลือกเข้าวัดเพื่อหาหนทางสงบจิตใจ

          ด้านที่สอง ความโลภ ถือเป็นรากเหง้าของปัญหา มาจากความต้องการที่เป็นส่วนเกิน ถ้าเรามีสติ พิจารณาถึงปัจจัย 4 ที่เรามีว่าเพียงพอแล้วต่อการมีชีวิตอยู่ เราก็จะไม่ไปขวนขวายมัน เช่น เสื้อผ้าอาภรณ์ ถ้าเราเพียงพอแล้ว สามารถกันร้อนกันหนาว กันแมลง และให้เป็นไปโดยมารยาททางสังคมที่ดี เราควรพอใจกับสิ่งนั้น ข้าวปลาอาหารไม่ได้กินเกินกำลัง กินแล้วให้ดีกับสุขภาพก็พอ ที่อยู่อาศัย กันแดดกันฝน ให้ความมั่นคงทางชีวิตเราก็อยู่ได้ ยารักษาโรคประทังชีวิต เมื่อมีสำหรับเราเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็เพียงพอแล้ว

          "ปัจจัยสี่พื้นฐาน ถ้าเรามีปัญญาเห็นว่าชีวิตเราไม่ได้ลำบากแล้ว เราก็จะดิ้นรนน้อยลง แต่หากเราเกิดการเปรียบเทียบกับผู้อื่นจะทำให้เราดิ้นรนอยากได้ในสิ่งนั้น ๆ ถ้าศักยภาพเราไม่พอที่จะตอบสนองความต้องการของตัวเองก็เกิดปัญหาตามมา เมื่อขาดสติก็จะทำให้เราผิดศีล มนุษย์ต้องมีตัวช่วยหลายอย่าง และอาจจะต้องหาตัวอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจให้เรา"

ฝึกบริหารจิตใจ ให้ห่างไกล อคติ 4

          สำหรับ ความโกรธ ที่เสมือนไฟร้อนนั้น พระอาจารย์ภาณุ เล่าว่า ถ้าเราไม่สามารถดับไฟในใจเรา ไฟนั้นก็จะออกมาสู่ภายนอกเผาผู้อื่นด้วย ทั้งทรัพย์สิน ร่างกาย จิตใจ เมื่อใจเป็นไฟเราต้องเอาความเย็นมาดับ

          "การดับไฟนั้นต้องเอาศีลมาสกัดไว้ น้อมใจคิดว่าถ้าเราโต้ตอบ ทำร้ายคนอื่นด้วยกายหรือวาจา ก็จะเกิดการทำร้ายกัน ยับยั้งตัวเราเองด้วยการมีศีล ใช้ความเมตตา กรุณา และไม่เบียดเบียนด้วยศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่า ไม่คิดร้าย ต้องให้อภัยผู้อื่น ถ้าหากศีลยับยั้งไม่พอ ลองฝึกสมาธิหลับตา สูดลมหายใจ ให้ใจเยือกเย็น ท้ายสุดต้องใช้ปัญญา พิจารณาว่าทุกสิ่งไม่แน่นอน ความโกรธก็จะตั้งอยู่ และดับไป" พระอาจารย์ภาณุ กล่าว

          อคติด้านสุดท้ายคือ ความหลง หรือ โมหะ ซึ่งเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งสามตัวที่กล่าวมา สิ่งนี้ทำให้เห็นผิดไปจากความจริง เช่น ความรักที่มากเกินไป ไม่ได้รักด้วยเหตุและผล เมื่อโมหะเข้าครอบงำ จะทำให้เราเบียดเบียนผู้อื่นไม่ว่าจะวิธีการใด ๆ ก็ตาม ด้านความโลภจากการเกิดโมหะจะเกิดขึ้นถ้าหากเราไม่เกิดปัญญา ความอยากได้มันเป็นส่วนเกิน เราจะขวนขวายเกินพอดี แสวงหาเกินพอดี และสุดท้ายคือความโกรธ เมื่อมีโมหะเข้าครอบงำ เราก็จะโกรธและเกลียดคนที่เราเห็นว่าไม่ดีอย่างเต็มที่ ถ้าเราพอเห็นส่วนดีบ้างท่ามกลางความไม่ดีนั้น เราก็จะให้อภัยผู้อื่น ความโกรธเกลียดก็จะเบาบางลงไป เราจะแก้โมหะได้ต่อเมื่อเรายอมรับว่าสิ่งต่าง ๆ มีหลายแง่มุม มองให้รอบด้าน ใช้สติกับสมาธิเข้าช่วย ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เราฝึกกันได้ไม่ยากจนเกินไป

          ใจที่อคติจากความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง คลายทุกข์ในใจได้ด้วยการยอมรับ ใช้ศีล สมาธิ และปัญญาที่จะน้อมนำมาให้เกิดความตื่นรู้ และความสงบในจิตใจ…

 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เรื่องโดย อาภาวรรณ โสภณธรรมรักษ์ team content www.thaihealth.or.th

สุขภาพจิต คนมีความสุขเขาเป็นอย่างนี้ อยากแฮปปี้แบบเขา ต้องเอาเยี่ยงอย่าง

สุขภาพจิต คนมีความสุขเขาเป็นอย่างนี้ อยากแฮปปี้แบบเขา ต้องเอาเยี่ยงอย่าง

สุขภาพจิตดี ๆ

          สุขภาพจิตดี ๆ สร้างได้ด้วยตัวเราเองนี่แหละ เช่นเดียวกับความสุขที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อสักสตางค์ ไม่เชื่อก็ลองเลียนแบบ 4 นิสัยของคนที่มีความสุขตามนี้ดูสิคะ


          รู้สึกเครียดสุด ๆ ไปเลย เพียงสิ่งแย่ ๆ เกิดขึ้นแค่ 2-3 อย่าง ช่วงเวลาไม่ดีเหล่านั้นก็กลายเป็นชั่วโมงสุดมูดดี้ไปสุด ๆ เผลอแป็บเดียวก็กลายเป็นวันยอดแย่ไปซะแล้ว มาลองศึกษาคนที่แฮปปี้ตลอดกันดีกว่า ว่าพวกเขามีเคล็ดลับสร้างสุข คลายเครียดอย่างไรและชอบทำอะไรกันบ้าง จำไว้ว่าเมื่อไม่เครียด โรคก็ไม่ถามหานะ งานนี้ นิตยสาร Lisa หยิบมานำเสนอบอกต่อกัน

สุขภาพจิตดี ๆ

 คนมีความสุขต้อง…เปิดใจ

          จากการวิจัยในออสเตรเลียค้นพบว่าคนเหล่านี้มีความอ่อนไหว รับฟังความคิดเห็นและไม่ปิดกั้นตัวเองจากคนแปลกหน้า จัดว่าเป็นคนโลกสวยทีเดียว "คุณจะเห็นภาพรวมของสิ่งต่าง ๆ และไม่ใส่ใจในรายละเอียดอันไม่จำเป็น ซึ่งช่วยเปิดโอกาสสู่สิ่งใหม่ ๆ ในชีวิตได้ด้วย" Susie Green จิตแพทย์ผู้ก่อตั้ง The Positive Institute ในออสเตรเลีย กล่าว

 ทำอย่างไรถึงเวิร์ก

          เคล็ดลับสร้างสุขคือ คราวหน้าเมื่อคุณได้พบเจอคนใหม่ ๆ ควรเปิดใจที่จะพูดคุยหรือศึกษาพวกเขามากขึ้น อาจตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เขาสนใจก็ได้

 คนมีความสุขต้อง…อยากรู้อยากเห็น

          เพื่อนสาวคนหนึ่งของเราเป็นนักธุรกิจที่อยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา เธอมักตั้งคำถามและสนทนากับเพื่อนได้ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง และที่สำคัญเธอดูแฮปปี้มากเสมอ จากผลการวิจัยหนึ่งในอังกฤษที่ทำโดยนักจิตวิทยา ให้กลุ่มทดลองสังเกตชีวิตตัวเองเป็นเวลา 21 วัน พบว่ากลุ่มที่อยากรู้อยากเห็นเป็นประจำมักเข้าร่วมกิจกรรมมากมาย พวกเขาจะรู้สึกพอใจในชีวิตมากกว่า จึงนำมาซึ่งสุขภาพจิตที่ดี

สุขภาพจิตดี ๆ

 ทำอย่างไรถึงเวิร์ก

          แม้อยู่ในเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยสบายตัวเท่าไร ก็ควรเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้อยู่สบาย ไม่เครียด ถือเป็นการพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เลือกเสี่ยงซะบ้าง แล้วชีวิตจะน่าสนใจขึ้น

 คนมีความสุขต้อง…ยินดีเมื่อคนอื่นได้ดี

          เพื่อนที่ดีต้องอยู่เสมอเมื่อเพื่อนเจอความทุกข์ และที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือ ต้องสามารถแสดงความยินดีหรือร่วมแชร์ความสำเร็จเมื่อเพื่อนได้ดีโดยไม่รู้สึกอิจฉาด้วย คนมีความสุขมักเป็นกลุ่มคนที่มักร่วมแสดงความยินดีและเฉลิมฉลองความสำเร็จของคนอื่น เขาเป็นผู้สนับสนุนที่ดีเมื่อเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จ
 
 ทำอย่างไรถึงเวิร์ก

          คราวหน้าเมื่อคุณเริ่มรู้สึกอิจฉาใคร ลองหาข้อดีในความสำเร็จของคนนั้นดู อย่างเช่น เพื่อนร่วมงานคนหนี่งได้รับการเลื่อนขั้น แทนที่จะรู้สึกอิจฉา ลองหาข้อดีว่าทำไมเขาได้โปรโมท อาจพูดว่า "ฉันดีใจด้วย เพราะเห็นเธอทำงานหนักจริง ๆ" การแสดงความยินดีกับผู้อื่นด้วยความจริงใจอาจนำไปสู่สิ่งดี ๆ ในอนาคต เผลอ ๆ คุณก็ได้สร้างเครือข่ายเพื่อนร่วมงานที่ดีและทำให้ออฟฟิศน่าอยู่อย่างไม่รู้ตัว

สุขภาพจิตดี ๆ

 คนมีความสุขคือ…รู้ว่าชีวิตมีความหมายมากกว่าความสุขส่วนตน

          ชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้องคิดทุกอย่างเป็นแง่บวกตลอดเวลา เพราะจริง ๆ แล้วคนเรามีหลายอารมณ์ แต่การศึกษาค้นพบว่าคนที่มีชีวิตดีมักเข้าร่วมกิจกรรมที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดี สนุกสนาน เป็นที่รักใคร่และสงบสุข ทั้งนี้ยังรวมถึงการปรับอารมณ์อย่างการฟังเพลง เล่นกีฬา

 ทำอย่างไรถึงเวิร์ก

          แต่ละสัปดาห์ให้คุณเขียนเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นประมาณ 5 เรื่อง หรือลองทำความดีให้คนอื่น ๆ ประมาณ 3 อย่างดู สิ่งเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ทำให้อารมณ์คุณดีและรู้สึกมีความสุขขึ้นได้

 Happy Note

          เมื่อเครียด ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายคุณแอคทีฟ การนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานจึงยิ่งทำให้เครียด หาก ณ จุดนั้นไม่สามารถไปปลดปล่อยด้วยการออกกำลังกายได้ เพียงลุกจากโต๊ะแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำหรือเดินเล่นซัก 10 นาที จะช่วยคลายเครียดได้เทียบเท่ากับการออกกำลังครึ่งชั่วโมงเชียวล่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก


สุขภาพจิต หมายถึง โรคกลัวสังคม อยู่ต่อหน้าผู้คนแล้วท้องไส้ปั่นป่วน นี่เราป่วยหรือเปล่า ?

สุขภาพจิต หมายถึง โรคกลัวสังคม อยู่ต่อหน้าผู้คนแล้วท้องไส้ปั่นป่วน นี่เราป่วยหรือเปล่า ?

โรคกลัวสังคม

          โรคกลัวสังคม คุณเองเป็นหรือเปล่า หากเวลาที่ต้องพูดหน้าต่อสาธารณะ หรือหรือต่อหน้าคนจำนวนมาก แล้วมีอาการประหม่าจนท้องไส้ปั่นป่วน ถ้าเป็นมาก ๆ อาจเป็นต้นเหตุทำชีวิตพัง

          เชื่อว่าคงจะมีคนไม่น้อยที่มีอาการประหม่าเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าผู้คนมาก ๆ แม้ว่าอาจจะดูไม่ผิดปกติอะไร แต่ก็มีคนบางจำพวกที่เกิดอาการกลัวอย่างรุนแรง ซึ่งนั้นคืออาการของผู้ป่วยโรคกลัวสังคม ที่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและสุขภาพจิตอย่างรุนแรงได้หากไม่ได้รับการรักษา ทั้งนี้ควรมีวิธีรับมือที่ถูกต้อง เพื่อที่อาการป่วยจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นในระยะเวลาอันสั้นค่ะ วันนี้เลยขอหยิบบทความดี ๆ จากนิตยสาร Secret มาบอกต่อให้ทราบกัน แม้จะไม่ใช่โรคอันตราย แต่รู้ไว้หน่อยก็น่าจะดีกว่านะ

          ถ้าต้องออกไปนำเสนองานหน้าห้องเข้าร่วมประชุม หรือขึ้นเวที แล้วมีอาการประหม่า ตื่นเต้น เหงื่อแตก พูดตะกุกตะกัก ท้องไส้ปั่นป่วน ไม่กล้ามองหน้าคนอื่น คุณอาจกำลังเป็น “โรคกลัวสังคม”

โรคกลัวสังคม
 
          โรคกลัวสังคม (Social Phobia) เป็นความกลัวชนิดรุนแรงที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมตัวเอง ทำให้มีปัญหาการใช้ชีวิต ความกลัวที่จัดอยู่ในโรคนี้มีหลายรูปแบบ บางคนไม่กล้ามองหน้าหรือพูดคุยกับคนอื่น กลัวการพูดในที่ชุมชน กลัวการขึ้นเวที กลัวคนมอง กลัวการพูดคุยจริงจัง หรือไม่กล้าอยู่ในที่ที่มีคนมาก ๆ เมื่อรู้สึกกลัวจะแสดงอาการต่าง ๆ เช่น ประหม่า ตื่นเต้น หน้าซีด ตัวเย็น ใจสั่น ปากสั่น ควบคุมสติไม่ได้ ควบคุมระบบขับถ่ายไม่ได้ เป็นต้น โดยอาการที่แสดงออกนี้เกิดจากจิตใต้สำนึกไปกระตุ้นให้ระบบภายในร่างกายแปรปรวน

          สาเหตุอาจเกิดจากการขาดความรักความอบอุ่นในวัยเด็กทำให้รู้สึกด้อยกว่าคนอื่น เมื่อโตขึ้นจึงมีพฤติกรรมแปลกแยก เข้ากับใครไม่ได้ บางคนอาการเท่าเดิม บางคนอาการหนักขึ้น เริ่มไม่พอใจและไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต หวาดระแวงกับพฤติกรรมของตัวเองทุกเรื่อง เริ่มทำตัวถอยห่างจากผู้คน ป่วยเป็นโรคอื่น ๆ เช่น โรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ โรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน ฯลฯ ส่วนใหญ่พบว่าคนที่มีความจริงจังสูง ย้ำคิดย้ำทำ และมองโลกในแง่ร้ายจะมีอาการหนักขึ้น บางคนถึงขึ้นทำร้ายตัวเอง และร้ายแรงที่สุดคือฆ่าตัวตาย

          ดร.ภาคิน ธราธรศิริ นักสะกดจิตบำบัด ผู้ก่อตั้งชมรมนักสะกดจิตแห่งประเทศไทย แนะนำวิธีจัดการกับโรคกลัวสังคม ดังนี้

โรคกลัวสังคม

  อย่าตอกย้ำตัวเอง

          เมื่อรู้ว่าป่วยไม่ควรตอกย้ำตัวเองด้วยการศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมมากจนเกินไป เพราะส่วนใหญ่พบว่าคนที่รู้ว่าตัวเองป่วยเป็นอะไรก็มักเกิดความวิตกกังวลและทำให้อาการหนักขึ้น ดังนั้นการได้รู้ว่า “ฉันเป็นอะไร” ไม่ได้ช่วยทำให้อาการดีขึ้น แต่ยิ่งทำให้แย่ลง ไม่รู้เสียเลยจะดีกว่า

  เมื่อรู้ว่าเป็นโรคนี้ให้รีบรักษา

          โรคกลัวสังคมสามารถรักษาด้วยการใช้ยา หรือการรักษาทางเลือกที่เรียกว่า “จิตบำบัด” หรือ “การกล่อมเกลาจิตใต้สำนึก” ภาษาอังกฤษเรียกว่า Hypnotherapy เป็นการกระทำกับจิตสำนึกเพื่อเปลี่ยนนิสัย โดยบอกตัวเองว่า “ฉันกล้าคุยกับคนอื่นมากขึ้นทุกวัน ๆ” “ฉันเข้มแข็งมากขึ้น” “ฉันช่วยเหลือตัวเองได้”  แต่การรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอาจใช้เวลานานเป็นแรมปี จนทำให้ผู้ป่วยรู้สึกท้อแท้ ไม่มีกำลังใจรักษาต่อจนหายขาด จึงควรรักษาหลายวิธีไปพร้อม ๆ กัน

โรคกลัวสังคม

  บอกให้ทุกคนเข้าใจ

          คนที่ไม่เข้าใจอาจปฏิบัติต่อผู้ป่วยมากหรือน้อยเกินไป เช่น ประคบประหงมตลอดเวลา ช่วยเหลือผู้ป่วยทุกเรื่อง หรือกดดันมากเกินไป ใช้คำพูดเสียดสีทำให้เกิดความรู้สึกผิด เช่น “ไปซื้อของแค่นี้ทำไม่ได้ก็ตายไปซะเลย” ทั้งสองแบบล้วนแต่ส่งผลเสียต่อผู้ป่วย วิธีที่ถูกต้องคือควรบอกกับคนรอบข้าง หรือย่างน้อยคนในครอบครัวให้รับรู้ และเข้าใจว่าคุณกำลังป่วยเป็นโรคกลัวสังคม

  ให้คนรอบข้างช่วยเหลือด้วยวิธีที่ถูกต้อง

          เมื่ออธิบายให้คนรอบข้างเข้าใจแล้ว ควรให้พวกเขาช่วยเหลืออย่างถูกต้อง โดยเป็นเหมือนพี่เลี้ยงให้ผู้ป่วยได้ออกไปเผชิญโลกภายนอกเอง แต่ให้เรามั่นใจว่ามีพี่เลี้ยงคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ เมื่อผู้ป่วยทำสิ่งใดไม่ได้จริง ๆ ก็แค่ถอยออกมา แล้วพี่เลี้ยงเข้าไปจัดการให้

พี่เลี้ยงต้องรู้ว่าสิ่งไหนที่ผู้ป่วยทำไม่ได้ในวันนี้ ในอนาคตต้องกระตุ้นให้เขาทำให้ได้แต่ต้องค่อย ๆ เพิ่มแรงกระตุ้นทีละน้อย อย่ากระตุ้นอย่างรุนแรงในทันที แต่ถ้าไม่กระตุ้นเลย ผู้ป่วยก็จะไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง ดังนั้นพี่เลี้ยงต้องอดทนและใจเย็น แต่หากไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร การให้กำลังใจคือสิ่งที่ดีที่สุด


  ลดทางเลือกของชีวิต

          คนที่มีทางเลือกเยอะ เช่น บ้านมีฐานะ ไม่ต้องเรียนหนังสือ ไม่ต้องทำงานอยู่บ้านเฉย ๆ มีคนทำธุระให้ทุกอย่าง หรือคนที่เดินทางไปรับยาที่โรงพยาบาลแล้วกลับบ้าน ไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก จะหายช้ากว่าคนที่ทางเลือกน้อยหรือไม่มีทางเลือกเลย

โรคกลัวสังคม

  สร้างกำลังใจให้ตัวเอง

          อย่าคิดว่าตัวเองเจอกับเรื่องที่แย่ที่สุดแล้ว เพราะคนป่วยเป็นโรคกลัวสังคมยังโชคดีกว่าคนจำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคเอดส์ ธาลัสซีเมีย หรือพิการแขนขาขาด เพราะบางโรคไม่สามารถรักษาได้ ผู้ป่วยโรคกลัวสังคมที่มีใจสู้ มุ่งมั่น ผลักดันตัวเองสูง อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อออกไปใช้ชีวิตกับสังคมภายนอกสามารถรักษาให้หายได้ในเวลาไม่นาน

 ทำต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

          ผู้ป่วยต้องมุ่งมั่น มีวินัยในระหว่างการรักษา ต้องพยายามลดทางเลือกและผลักตัวเองออกจากกรอบที่เคยอยู่ ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงตัวเองทีละน้อย ทำทีละเรื่อง เริ่มทำเรื่องเล็ก ๆ ก่อนแล้วค่อยแก้ไขเรื่องใหญ่ ๆ ทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพราะในมุมมองของนักจิตวิทยา การเปลี่ยนแปลงในทันทีหรือการหักดิบให้ผลสำเร็จเพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

      
    โรคกลัวสังคมเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยอย่างคาดไม่ถึง ความเข้าใจและช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้ด้วยวิธีที่ถูกต้องจะช่วยทำให้เขากลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

โดย กรรณิการ์ ทองคำ 

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สุขภาพจิต : 9 ข้อดีของการอยู่คนเดียว เฟี้ยวได้แม้อยู่ลำพัง

สุขภาพจิต : 9 ข้อดีของการอยู่คนเดียว เฟี้ยวได้แม้อยู่ลำพัง

ข้อดีของการอยู่คนเดียว

          ข้อดีของการอยู่คนเดียว เฟี้ยวไม่เบา และอยากบอกให้โลกรู้ว่าการอยู่คนเดียวไม่ได้แย่ แต่จะได้ 9 ประโยชน์นี้จากการอยู่ลำพังมาทดแทนต่างหาก


          อยู่คนเดียว อยู่ลำพัง แต่ชีวิตนี้จะไม่ว้าเหว่แน่ ๆ ค่ะ เพราะการได้อยู่คนเดียวสักพัก ก็เหมือนเราเปิดโอกาสให้ชีวิตได้เจอกับความสุขในมุมมองอีกด้านที่เราอาจไม่เคยรู้ว่ามีมาก่อน แถมการอยู่คนเดียวยังมอบประโยชน์ดี ๆ ให้เราตามนี้อีกด้วยนะ

 ได้ชาร์จแบตให้ตัวเอง

          ปฏิเสธได้ไหมล่ะว่าการใช้ชีวิตท่ามกลางคนมากมายไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยเลย โดยเฉพาะในวันที่อยากได้ความสงบ แต่ต้องทนปั้นหน้ายิ้มแย้มและสร้างความสุขให้คนอื่น โมเม้นต์แบบนี้ถ้าสามารถปลีกตัวได้ หลายคนคงเผ่นหนีกันแทบไม่ทัน 

          ฉะนั้นหาก ณ เวลานี้ต้องตกอยู่ในสถานะลำพัง ก็เท่ากับว่าเรามีโอกาสได้กลับมาชาร์จพลังชีวิต มอบอิสระให้ตัวเองได้ยิ้มกับสิ่งที่ชอบ ปฏิเสธใส่สิ่งที่ไม่ชอบ เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่

ข้อดีของการอยู่คนเดียว
​​
 มีเวลาทบทวนตัวเองมากขึ้น
    
          บางครั้งการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมตลอดเวลา อาจทำให้เราหลงลืมที่จะทบทวนตัวเราเองไปอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเรามัวแต่พิจารณาในสิ่งที่คนรอบตัวกระทำอยู่นั่นเอง ซึ่งหากได้ลองอยู่คนเดียวเงียบ ๆ บ้าง คุณอาจจะมีเวลาทบทวนตัวเองเพียงลำพัง ได้พิจารณาการใช้ชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง และนี่อาจเป็นช่วงเวลาที่จะได้ตกผลึกความนึกคิด และได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุขมากขึ้นก็ได้

 ได้คุยกับตัวเอง
    
          เคยสับสนกับความรู้สึกของตัวเองกันบ้างไหมคะ ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร ไม่รู้จะดำเนินชีวิตไปทางไหนดี ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน ซึ่งภาวะนี้ก็เป็นเพราะว่าเราละเลยที่จะคุยกับตัวเอง มองข้ามความรู้สึกหรือความต้องการที่แท้จริงของตัวเองไป โดยอาจมีปัจจัยผลักดันรอบ ๆ ด้านทำให้ไขว้เขวหรือลังเล แต่การอยู่คนเดียวครั้งนี้แหละที่จะพาคุณไปรู้จักตัวเองให้มากขึ้น ได้ตระหนักถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ ที่สำคัญบางทีคุณอาจจะได้คำตอบอะไรก็ตามที่ค้นหามานานจากช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวนี่ก็ได้นะ    

ข้อดีของการอยู่คนเดียว

 ได้ทำในสิ่งที่ใจต้องการอย่างไร้ขีดจำกัด
    
          การมีใครคอยอยู่เคียงข้างหรือมีเพื่อนร่วมก๊วนมาก ๆ อาจทำให้เราต้องเก็บความต้องการบางอย่างเอาไว้กับตัวเอง เพราะอาจจะหาจังหวะทำในสิ่งนั้นได้ยาก แต่หากได้ลองอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตอย่างลำพังดูสักครั้ง คราวนี้คุณอยากจะทำอะไร จะลองในสิ่งไหนก็ตามสบายเลยล่ะ ชีวิตไม่มีขีดจำกัดอะไรอีกแล้ว

 ปลดปล่อยความคิดสู่โลกกว้าง
    
          หลายคนหลายความคิด วลีนี้เราทุกคนเจอมากับตัวกันทั้งนั้น และหลายครั้งต้องยอมรับว่าเราแทบไม่ได้ใช้ความคิดของตัวเองในการทำงานหรือการออกความเห็นใด ๆ เลย ฉะนั้นการอยู่คนเดียวก็เป็นโอกาสให้ความคิดได้ปลดแอก แสดงตัวออกมาอย่างฟรีสไตล์ หรือบางคนที่เคยชินกับการพึ่งควมคิดคนอื่นมาโดยตลอด คราวนี้คุณจะมีโอกาสได้กระตุ้นสมองของตัวเองให้ผลิตไอเดียดี ๆ บ้างแล้วล่ะ

 กระตุ้นความมั่นใจในตัวเอง
    
          ตัวคนเดียวก็แปลว่าต้องทำอะไร ๆ ด้วยตัวเองทั้งหมด ไม่มีใครคอยซับพอร์ตคุณอีกแล้ว ซึ่งก็ดีกับคนที่ไม่เคยได้ฉายเดี่ยวในเรื่องใด ๆ นะคะ เพราะการต้องทำอะไรด้วยตัวเองในสถานการณ์จำเป็นจะสอนให้เรามีความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น หรืออย่างน้อย ๆ ก็จะรู้จักวิธีเสริมความมั่นใจให้ตัวเองบ้างล่ะน่า

ข้อดีของการอยู่คนเดียว

 แคร์แค่ตัวเอง
    
          พอกันทีกับการต้องแคร์คนนั้นคนนี้ไม่หยุดหย่อน ตอนนี้เราอยู่ตัวคนเดียวแล้ว พลาดเองก็เจ็บเอง ไม่ต้องรับผิดชอบความรู้สึกใคร ไม่ต้องกลัวว่าการกระทำใด ๆ ของเราจะทำให้ใครรู้สึกผิดหวัง นี่แหละวิถีของการใช้ชีวิตแบบไร้ห่วง

 หยุดพักเพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
    
          ช่วงเวลาที่ได้อยู่คนเดียวเงียบ ๆ เราจะมองเห็นทั้งข้อดีและข้อเสียของตัวเองได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็เป็นผลดีกับความสัมพันธ์ทุกความสัมพันธ์ในระยะยาว เพราะการมองเห็นตัวเองได้มากขึ้นจะเปิดโอกาสให้เราได้แก้ไขและพัฒนาตัวเองไปพร้อม ๆ กัน

ข้อดีของการอยู่คนเดียว

 ระบบประสาทและสมองได้พักผ่อน
    
          ช่วงเวลาที่ร่างกายได้ผ่อนคลายมากที่สุดคือช่วงเวลาของการอยู่คนเดียวเงียบ ๆ นี่แหละค่ะ อย่างตอนอาบน้ำนั่นไง รู้สึกไหมว่าโมเม้นต์นั้นเราได้ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลแสนไกล ไม่ต้องยึดติดกับอะไร ไม่เร่งรีบ ไม่เหนื่อย มีสมาธิอยู่กับการถูตัวและรับความรู้สึกสดชื่นเท่านั้น ฟีลนี้มันดีสุด ๆ ไปเลย

          อย่าเพิ่งกลัวหรือกังวลกับการอยู่คนเดียวไปเลยนะคะ เห็นไหมว่าบางครั้งการอยู่ลำพังก็ทำให้เราได้อะไรดี ๆ กลับไปเยอะเลย ;)



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Lifehacker
Learning-mind
Kapook

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Bluehost Coupons